การสูญพันธุ์ครั้งที่สี่ของโลก หรือที่เรียกว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ปลายยุคไทรแอสซิก (Triassic-Jurassic Extinction Event) เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 200 ล้านปีที่แล้ว
เหตุการณ์นี้ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไปประมาณ 76% โดยเฉพาะสัตว์ในทะเลและสัตว์เลื้อยคลานบนบก ในช่วงเวลานั้น โลกเริ่มเป็นที่อยู่ของไดโนเสาร์ที่เพิ่งเริ่มวิวัฒนาการขึ้นมา ซึ่งแม้ไดโนเสาร์บางกลุ่มจะสามารถอยู่รอดได้
แต่สิ่งมีชีวิตอื่นจำนวนมากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ทำให้พวกมันต้องสูญพันธุ์ไป
หนึ่งในสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ครั้งนี้คือภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง (Global Warming) ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ภูเขาไฟที่ระเบิดในช่วงเวลานี้เรียกว่า “Central Atlantic Magmatic Province”
ซึ่งเป็นการระเบิดครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ การระเบิดของภูเขาไฟดังกล่าวทำให้เกิดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนจำนวนมากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในระดับโลกส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างกะทันหัน ระบบนิเวศที่เคยเจริญรุ่งเรืองในยุคไทรแอสซิกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง น้ำทะเลอุ่นขึ้นทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลเช่นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและสัตว์ทะเลประเภทอื่นๆ
ต้องสูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน บนบกเอง พืชที่เคยเติบโตได้ในสภาพอากาศที่มีความชื้นเริ่มลดจำนวนลง พื้นที่ที่เคยเป็นป่าไม้หรือเขตร้อนกลับกลายเป็นแห้งแล้งและไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด
แม้ว่าไดโนเสาร์บางกลุ่มจะสามารถอยู่รอดได้ แต่สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่บางชนิดที่เป็นคู่แข่งของไดโนเสาร์ เช่น สัตว์เลื้อยคลานจำพวก Archosaur ที่เป็นกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่เคยครองโลกในยุคนี้
ต้องสูญพันธุ์ไปเกือบหมด นอกจากนี้ สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในยุคแรก ๆ ที่ยังไม่พัฒนาจนถึงขั้นที่สามารถปรับตัวกับสภาพอากาศรุนแรงได้ก็ต้องประสบกับการสูญพันธุ์เช่นกัน
ผลกระทบของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งนี้ทำให้ไดโนเสาร์ที่เหลือรอดสามารถขยายพื้นที่และพัฒนากลายเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ครองโลกในยุคต่อมา
การลดลงของสิ่งมีชีวิตคู่แข่งเปิดโอกาสให้ไดโนเสาร์สามารถเติบโตและวิวัฒนาการจนกลายเป็นกลุ่มสัตว์ที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์มากขึ้น
ซึ่งนำไปสู่ยุคจูราสสิก (Jurassic Period) ที่ไดโนเสาร์กลายเป็นสัตว์ที่มีอิทธิพลในทุกภูมิภาคของโลก
นอกจากนี้ การสูญพันธุ์ครั้งนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ของโลก แผ่นเปลือกโลกที่เคลื่อนตัวทำให้เกิดการแบ่งแยกทวีปจากที่เคยเป็นมหาทวีปที่เรียกว่า “แพนเจีย” (Pangaea) แผ่นดินเริ่มแยกออกจากกัน
กลายเป็นทวีปย่อยที่เริ่มมีความแตกต่างกันในด้านภูมิอากาศและสภาพแวดล้อม นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตในยุคถัดมา
ดังนั้น การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ปลายยุคไทรแอสซิกเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในยุคต่อไป แม้ว่าสิ่งมีชีวิตจะสูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ได้เปิดโอกาสให้สายพันธุ์ใหม่ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้เติบโตขึ้นมาแทน
ได้รับการสนับสนุนโดย ole777 ทางเข้า มือถือ